เมื่อฉันเป็นมะเร็งไทรอยด์ตอนอายุ 31 ปี

เล่าตั้งแต่ปี 57
ไปเจอว่าเป็นไทรอยด์โตด้านขวา ที่รพ แห่งนึงย่านบางแค รักษา 1 ปี กินยาฮอร์โมนแต่ไม่ลดลง เลยตัดสินใจผ่าก้อนประมาณ 4 เซน ผลชิ้นเนื้อเป็นเนื้อดี การผ่าตอนนั้นพักแค่ 3 คืน 4 วัน ถือว่าชิลไม่ได้น่ากลัวเลย ด้วยตอนนั้นอายุ 25-26 ก็อาจจะห้าวๆ ผ่าแค่ด้านขวา (ค่าใช้จ่ายประมาณแสนต้นๆ) ก็ไปฟอลโล่ หาหมอ 1 ปี แล้วก็ไม่ไปอีกเลย

ชล่าใจจนผ่านมาปี 61
ปวดคอคิดว่าเป่นแค่ออฟฟิศซินโดรมไปหาหมอ หมอแจ้งว่า เป็นออฟฟิศซินโดรมครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไทรอยด์ด้านซ้ายไม่โตนะ
.. OMG

จากนั้นหมอก็เรียกเข้าไปคุย บอกแนวโน้มก้อนนี้ไม่ค่อยดีเลยครับ
ทางโรงพยาบาลเราไม่สามารถรักษาคุณได้ ขออนุญาตส่งไปที่อื่น ... สิทธิ์ประกันสังคมจ้า จ๊ะ !!

จากนั้นก็ไปโรงบาลแถวซังฮี้ แบบตอนตึกใหม่ยังไม่เสร็จ โอ้โห ช่างแบบ ... เก่า น่ากลัว
การรักษาคือเจาะชิ้นเนื้อ ตรวจด้วยนักศึกษาแพทย์ ซึ่งก็ไม่เคยได้ค่าผลเนื้อเลย !!!!
เจาะทั้งหมด 4 ครั้ง

จนสุดท้าย ผ่าก้ผ่าเพราะหมอบอกก้อนใหญ่ ประมาณ 6 เซน แล้วดูท่าจะลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง

ซึ่งกำหนดผ่าตัดเป็น พ.ค.62
แต่มีเหตุการณ์แทรกจ้า แม่เจ้าา ชั๊ลท้องงงงง !! วู้ๆๆๆๆ ดีใจไปหมด ลืมก้อนนี้ไปเลย แล้วก็ไปหาหมอจ้า บอกหมอ ชั๊ลท้องนะ 555 หมอก็อะๆ คลอดเสร็จแล้วมาละกัน ซึ่งหมอก็ไม่ได้บอกว่าเห้ยมันมีหลายเลเวลนะแกรรรร แกเสี่ยง แกอย่าท้อง ก็เลยสบายใจเพราะคำว่าต่อให้เป็นมะเร็ง ก็โตช้ามากๆ

ทำให้ตอนท้องคือไม่ได้สนใจเลย ชะล่าหัวใจเบราๆๆๆๆๆ ก่อนคลอดสัก 2 เดือน ปรากฎว่าก้อนโตขึ้นชัดมากๆ กว่าเดิม แต่เราก็ไม่สนใจคิดว่าเติบโตช้า ช่วงท้องจนคลอดจนเลี้ยงน้องก็ไม่ได้มีอาการใดๆเลย

มาแล้วจ้าช่วงจังหวะบีบมือ หมอนัดไปดูไทรอยด์เพื่อวางแผนผ่าตัด โดยที่ก็ไปทำ ct scan ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อเตรียมผ่าตัด นัดว่า 24 มกรา 63 แล้วอยู่ดีๆหมอก็พูดว่า เอ๊ะ ! ผลทำ ct ของคุณเหมือนเนื้อจะเข้าหลอดลม ! $277.@/&:$&/&.$:&/‘ ในหัวคือ blank !! หลอดลมมีไว้หายใจแล้วไงจะหายใจยังไง ทำไงละ ? ถามหมอ หมอก็บอกว่าปรึกษาอ.หมอแล้วเราจะยังไม่ไปยุ่งกับหลอดลมของคุณ จะเอาแค่ก้อนไทรอยด์และต่อมน้ำเหลืองออก เราก็เบาใจ ยังคิดว่ามันไม่รุนแรงไปอี้กกก โลกสวยค่ะ

จากนั้นเราก้ใช้ชีวิตปกติ กับครอบครัวเลี้ยงดูลูก ชิลๆ หาของอร่อยๆกิน รอเวลาผ่าตัด
อีก 3 วันก่อนผ่าตัด...วันที่ 20 มกรา หมอก็โทรมาแล้วบอกว่าขอเปลี่ยนแผนการรักษา ! ขอผ่าตัดหลอดลมและจะเจาะหลอดลมเรา !!! เราก็แบบเห้ย ไม่เอา !!!! นึกถึงหนังองค์บากออกปะ ?? แบบน่ากลัว แบบกูจะใช้ชีวิตยังไง แบบเสียงกูละ บอกเลยว่าดิ่ง ดิ่งที่สุด ทั้งกลัว ทั้งไม่รู้จะทำไง ชีวิตเหมือนดิ่งไป 4 ชั่วโมง โทรหาแม่แบบต้องเจาะคอ !! แม่ก็ไม่เอา ไม่อยากให้เจาะ เพราะกระทบชีวิตเยอะ ก็เลยโทรไปหาหมอ หมอก็ยังยืนว่าต้องเจาะคอก็เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ ! จิตตก ก้มคอ ดำดิ่ง

แล้วที่บ้านแฟนก็เสนอว่า เอ๋ ! เราไม่เคยไปดูแผนการรักษาที่อื่นเลยนะ เราก็แบบเออว่ะ !! บางทีประกันสังคมอาจจะไม่ตอบโจทย์ ก็เลยตัดสินใจมาที่โรงบาลศิริราชปิยะ เพราะไม่อยากรอไปนานกว่านี้แล้ว การเลือกหมอก็เลือกในเวปเลยค่ะ มีบอกหมดว่าอ.หมอท่านไหน ถนัดด้านไหน ลงตรวจเมื่อไร และก็ได้ปฏิเสธการรักษาที่รพเดิม เนื่องจากแผนการรักษาไม่ชัดเจน ก็อย่างว่าอะนะ ไม่เคยเจออ.หมอเลย แล้วมาบอก 3 วันสุดท้ายและจะเจาะคอ จากที่ไม่เคยพูดถึงเลย แผนการรักษาคือต้องดูหน้างานตอนผ่า (จย้าาาาา) ก็ตามนั้นค่ะ หาเงินมาเท่าไรก็ทุ่มกับการรักษาตัวให้หมด เพราะถ้าเราโดนเจาะคอคงกระทบชีวิตมากแน่ๆ

เข้ามาศิริราชปิยะ ก็นะ วีไอพีมาเลยจ้า ทุกอย่างเร็วไปหมด เจอหมอ นัดสอดกล้อง ตัดชิ้นเนื้อ ทำct scan ทั้งหมดภายใน 3 วัน รู้ผลหมดเลยจ้า ว่าเป็นอะไรยังไงบ้าง จังหวะบีบมือ
1.คุณเป็นเนื้อร้าย
2.ชนิดพาพิลารี่
3.ระยะลุกลาม ไปที่ต่อมน้ำเหลืองและหลอดลมคอ
แผลคุณจะยาว หลอดลมคือจุดอันตราย คุณต้องก้มคอ 14 วัน และจะพยายามไม่เจาะคอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของคนไข้
4.เราต้องรีบรักษาคุณ ซึ่งศิริราชปิยะ ไม่สามารถรับการรักษาคุณได้ ขอให้ไปศิริราชเพราะเครื่องมือดีกว่า
(ค่าใช้จ่าย 65,000)

อะ เห้อ แง ฮือ ... ทำยังไงได้ก็ต้องสู้อะ แต่ถามว่าจิตตกมั้ย ร่วงลงไปที่ชั้นแมกม่าโลกแล้วจ้า มองหน้าลูก มองหน้าแม่ มองหน้าสามี อีก 2 วีค ต้องผ่าตัดใหญ่พักฟื้นครึ่งเดือน เห้ยทุกอย่างมันผ่านไปช้ามาก บางวันจิตตก กินข้าวไม่ได้ แล้วหาข้อมูลในgoogle มีว่าหากเป็นชนิดพาพิลารี่นานๆอาจจะเป็นแบบอะนาพลาสติกได้ (แบบที่รักษาไม่หาย) และแบบอะนาพลาสติกชอบเข้าหลอดลม !!! จิตตก ร้องไห้ ไม่กินข้าว ที่บ้านก็พยายามปลอบใจว่าไม่มีอะไรอย่าคิดมาก แต่ใจมันนำกายอะเนอะ ทุกอย่างมันเลยมืดไปหมด แต่สุดท้ายก็คิดได้ใน 1 ประโยคว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว เราต้องรอดเพื่ออยู่กับลูกและครอบครัว

มาแล้วค่ะเวลาผ่าตัด อ.หมอศิริราชปิยะ กับ อ.ศิริราชเป็นคนๆเดียวกัน จึงทำส่งเรื่องการผ่าตัด 1 วันจบเลยค่ะ เลิศมากๆ ได้นอนตึกเฉลิมพระเกรียติชั้น 5 ซึ่งเป็นเฉพาะทางของ หน่วยหู คอ จมูก วิวแม่น้ำสวยอยู่ค่ะ ห้องก็พอรับได้ ส่วนนางพยาบาลคือน่ารักทุกคนเลยค่ะ ดูแลดีมากๆๆๆชวนคุยให้กำลังใจ มานอนเตรียมผ่าตัดก่อน 1 คืนค่ะ พอเช้าแพทย์ประจำบ้านก็มาใส่สายอาหารให้ค่ะ ความรู้สึกคือ เจ็บในระดับรำคาญ เพราะรำคาญคอมากเลยค่ะ เอาแระค่ะ จิตตกอีกแล้ว เพราะแค่สายอาหารยังรำคาญเลยค่ะ ไม่นานก็ต้องไปผ่าตัดที่ตึกสยามินทร์ชั้น 4 ซึ่งเป็นห้องผ่าตัดเฉพาะทางเช่นกัน เข้าผ่าตัด 9.00-16.30 แต่มารู้สึกตัวอีกที 11.00 ของอีกวัน หมอบอกให้ยาที่ไม่ให้ขยับตัวแล้วนอนห้องไอซียูเต็มๆ 1 คืน ไม่ค่อยมีสติด้วยค่ะ มีสติแค่รู้ว่าใครมาเท่านั้น เจ็บคอ สายวัดเต็มตัวไปหมด เมื่อมีสติเรียกหาแต่มอร์ฟีน !!! เพราะปวดมาก ส่วนการนอนนั้นคือขยับคอไม่ได้เลยค่ะ

วันที่ 2 ไปสอดกล้องเพื่อดูรอยต่อว่าต้องทำการเจาะคอหรือไม่ ปรากฎว่าไม่ต้องเจาะ เราก็ยังไม่ค่อยมีสติเท่าไรนะคะ มึนๆงงๆง่วงๆ คืนนี้ก็ยังคงนอน ไอซียู อยู่ค่ะ และการนอนไอซียูคืนนี้ช่างมหาโหดเหลือเกินเพราะว่าห้องที่เรานอน ปุ่มกดเรียกพยาบาลเสียค่ะ !!! บันเทิงค่ะ แต่ก็ยังดีที่ห้องไอซียูมีพยาบาลเข้ามาดูตลอด

วันที่ 3 ย้ายไปวอร์ดสามัญแบบพัดลมค่ะ หมอบอกว่าพยาบาลเก๋าและสามารถดูได้ทันถ่วงที แต่สภาพไม่แย่นะคะ เพียงแต่คุณไม่สามารถเลือกเพื่อนบ้านได้ ดังนั้นความวุ่นวายก็แล้วแต่คืนค่ะ แต่วันนี้เราแคลเซียมต่ำ ซึ่งเป็นผลหลังการผ่าตัด ชาทั้งตัวค่ะ ชาจนแทบจะทนไม่ไหวเลยค่ะ ร้องหายาอย่างเดียวค่ะ คุณหมอก็เลยดิบแคลเซียมก็คือ ให้แคลเซียมผ่านทางสายน้ำเกลือ จึงทำให้เราไม่ได้นอนห้องพิเศษในอีกคืน สติมา 20% หมอทำความสะอาดแผลเช้าเย็น

วันที่ 4 มาแล้วจ้า
ระดับแคลเซียมค่อนข้างดีขึ้นแต่ก็ยังให้ทางสายน้ำเกลืออยู่ค่ะ และคอที่ก้มมา 3 วัน !! มาแล้วจ้าความปวดเมื่อยความนอนไม่หลับ และความกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ เกลียดสายอาหาร ร้องไห้ ท้อแท้ อยากกลับบ้าน คิดถึงลูก หิวข้าว  สติมา 40% คืนนี้ก็ยังนอนห้องสามัญพัดลมอยู่นะคะ

วันที่ 5 ขึ้นห้องพิเศษ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 5
ได้กินข้าวผ่านทางสายอาหารครั้งแรกบอกเลยว่า ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นค่ะ นอกจากอิ่มแบบไม่ได้สัมผัสรสชาติ และด้วยความที่อาหารทางการแพทย์นะคะ มันข้นมากจึงต้องใช้เครื่องในการดัน 1 วันกิน 4 มื้อ มื้อละ 400 ml ระยะเวลาในการให้คือ ครั้งละ 2 ชั่วโมง 1 วัน = 8 ชั่วโมงค่ะ เยอะกว่าเวลานอนอีกค่ะ 555

วันที่ 6 จากวันที่ 1-5 ลืมเล่าค่ะ ว่าชีวิตมีทั้งหมด 4 สาย สายที่ 1 น้ำเกลือ สายที่ 2 แคลเซียม สายที่ 3 วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ สายที่ 4 สายปัสสาวะ และในวันนี้เราก็ได้โบกมือบายสายแคลเซียมค่ะ เพราะแคลเซียมเริ่มอยู่ตัวค่ะ จากการที่ต้องเจาะเลือดเราวันละ 2 ครั้ง เช้า กับ ค่ำ ทุกวันๆๆ จนเส้นเลือดแตกช้ำ ม่วงๆเหลืองๆเลยค่ะ

วันที่ 7 การที่เราต้องก้มคอมากๆเราว่ามันทรมานมากเลยค่ะ ยังไงก็ยังคงเมื่อยคอ นอนไม่เต็มอิ่ม เวลาไอก็กังวลเพราะด้วยความกลัวหลอดลมฉีกขาดซึ่งหมอก็บอกว่าไม่ต้องกังวล ตั้งแต่วันที่ 3-7 พยาบาลจะมาอาบน้ำให้เราบนเตียงทุกวันนะคะ ส่วนคืนที่ 1 กับ 2 ที่อยู่ห้องไอซียูนั้น ไม่ได้อาบค่ะ ในส่วนของการแปรงฟันก็ยังทำไม่ได้ค่ะ ทำได้แค่บ้วนน้ำยาบ้วนปากเท่านั้น วันนี้ได้เอาสายวัดคลื่นหัวใจออกแล้วค่ะ เหลือแค่สายน้ำเกลือแล้วค่า

วันที่ 8 พยายามลุกขึ้นเดินค่ะ เพราะว่าหลังเริ่มเป็นรอยกดทับค่ะ ซึ่งการลุกขึ้นเดินครั้งแรกทรมานมาก เนื่องจากเราให้สายน้ำเกลือ และแคลเซียมทางเท้ามาตลอด 7 วัน แล้วเข็มเป็นแบบใหญ่มาก ทำให้เส้นอักเสบตั้งแต่เท้าถึงหัวเข่าเลยค่ะ ต้องให้พี่ๆพยาบาลมาช่วยพยุงค่ะ และพี่พยาบาลก็ได้เอาวอคเกอร์มาให้เราเพื่อฝึกการเดินค่ะ และทำการประคบเย็นค่ะ

วันที่ 9 วันนี้ได้ถอดสายปัสสาวะและสายน้ำเกลือแล้วค่ะ ทำให้ได้เดินไปอาบน้ำเป็นครั้งแรก และพอได้ลุกเดินเท่านั้น สิ่งที่หายไปนานเป็นสัปดาห์คือ การ”อึ” ค่ะ พี่พยาบาลบอกว่าเพราะเราได้ขยับตัวร่างการมีการขยับทำให้การขับถ่ายมาค่ะ และในวันนี้ก็ได้ถามคุณหมอว่าเป็นระยะที่เท่าไร สำหรับผลชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ ซึ่งอาจารย์หมอบอกให้นักศึกษาแพทย์ไปศึกษาและกลับมาตอบเราในวันพรุ่งนี้ค่ะ แต่ในใจเราคิดว่าต้องระดับ 3 แน่ๆ เพราะมันแลจะลุกลามไปหลายที่

วันที่10 นักศึกษาแพทย์กลับมาให้คำตอบค่ะว่าเป็นมะเร็งขั้นที่ 1 ชนิดพาพิลารี่ การรักษาคือต้องกลืนแร่ เราก็ถามว่าทำไมถึงเป็นระยะที่ 1 ในเมื่อมันลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองกับหลอดลมคอ หมอแจ้งว่าเพราะเนื่องจากอายุและตอนนี้ก็ยังไม่ได้กระจายไปยังปอดหรือกระดูก และที่สำคัญมะเร็งชนิดนี้ไม่ว่าจะอยู่ระยะไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าได้ผ่าตัดชิ้นเนื้อร้ายออกได้หมดและทำการกลืนแร่ได้ อะ สบายใจกันไปค่ะ !

วันที่ 11 วันนี้ได้ตัดไหม แผลยาวที่คอแต่ตรงชั้นคอ ลากยาวขึ้นไปที่หลังหู ยังคงมีอาการตึงๆแผลและชาตั้งแต่หูซ้ายยันคอซ้ายเลยค่ะ หลังจากที่ทำความสะอาดเช้าเย็น ตอนนี้ก็เหลือไหมตรงคอกับคาง ที่บังคับให้เราต้องก้มคอค่ะ และมนุษย์เราก็จริงนะคะ ที่เค้าว่ามนุษย์จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะตอนนี้เราเริ่มปรับตัวกับการก้มคอตลอดเวลา และเราก็เริ่มจะชินกับสายอาหารเริ่มไม่เจ็บ และเริ่มไม่รำคาญแล้วค่ะ

วันที่ 12 ย้ายห้องมาตึก 84 เพราะพี่พยาบาลแอบกระซิบมาว่าตึกนี้ห้องใหม่มากแต่ราคาเท่ากัน ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ๆดีกว่า ซึ่งก็ใหม่มากจริงๆสวยกว่าๆเยอะมาก แต่วิวเมืองค่ะ แนะนำว่าถ้าใครจะจองห้องพักให้มาพักที่ตึก 84 ดีกว่าค่ะ

วันที่ 13 อาหารฟลีทกระเด็นใส่หน้า เหนียวจัดเครื่องเอาไม่ลง ต้องฟลีททางสาย พยาบาลเธอพยายามช่วยใช้เข็มดัน พุ่งออกมากระเด็นจ้า แฟร่ด !

วันที่ 14 สอดกล้อง ขอหมอเอาผ้าปิดตา วัดความดัน ออกซิเจน วัดคลื่นหัวใจไฟฟ้า ตื่นเต้น ไม่ดมยาสลบแต่พ่นยาชา ที่จมูกและปากขมมากๆๆๆ มีเกือบสำลักมาออกมา เอากล้องส่องไม่เจ็บนะ แต่กล้องมันจะสามารถพ่นน้ำด้วย เราก็เหมือนจะสำลัก แต่ดูแผลที่หลอดลมแล้วดีค่ะ เลยตัดไหมที่คอออก แล้วก็เอาสายอาหารออก (มีกลิ่นเหม็นมาก หมอบอกว่ากลิ่นกระเพาะอาหารตัวเองค่ะ) 555

วันที่ 15 ลุ้นว่าจะได้กลับบ้านมั้ย ต้องประเมิน 2 อย่างคือหมอผ่าตัด กับ หมอต่อมไร้ท่อ ที่ดูแคลเซียม ณ ก่อนออกจากโรงพยาบาลกินแคลเซียมวันละ 10 เม็ด และในที่สุดคุณหมอก็ประเมินให้กลับบ้านได้ค่ะ ยาคือถุงใหญ่มากค่ะ ใหญ่แบบ ใหญ่มากๆๆๆค่ะ เกิดมาไม่เคยกินยาเยอะแบบนี้รวมๆกันต่อวัน ต้องกินเกือบๆ 20 เม็ด และยาแคลเซียมตอนนี้กินวันละ 8 เม็ดค่ะ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 250,000 ค่ะ

กลับบ้านมา เจอหน้าลูก เจอหน้าแม่ ร้องไห้สิค่ะ

กลับมาพักฟื้นที่บ้าน

สิ่งแรกคือ ไม่ชินกับการเงยคอค่ะ ยังชินกับการก้มคออยู่ทำให้ปวดเมื่อยมากค่ะ และยังคงตึงแผลอยู่
ตอนนี้ผ่านมาจะ 3 เดือนแล้ว แผลหายแต่แขนด้านซ้ายยังยกขึ้นไม่ได้ 100% คุณหมอแจ้งว่าให้ทำกายภาพบำบัดค่ะ แล้ว 4 เดือนผ่านไปอาจจะดีขึ้น และยังไม่ให้เงยคอเหมือนเดิมค่ะ

ต่อไปจะเป็นการนัดส่องกล้องและกลืนแระจะมาอัพเดทเพิ่มนะคะ

สิ่งที่เราเล่ามายินดีที่จะให้คำปรึกษานะคะ และขอให้ทุกคนปราศจากโรคภัยไข้เจ็บค่า  ☺️

ขอขอบคุณครอบครัวที่ต่อสู้ด้วยกัน ขอบคุณแม่ ขอบคุณน้องสาว ขอบคุณสามี และขอบคุณลูกชาย และอีกหลายๆคนที่อยู่ข้างเรา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่